การสักปากถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ เพราะเป็นการใช้เข็มสักลงไปที่ปากและผลที่ออกมาก็จะอยู่กับคุณไปอีกหลายปี นอกจากการเลือกช่างที่ชำนาญแล้ว คุณควรรู้ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เช่น เรื่องความละเอียดอ่อนของผิวริมฝีปาก, เฉดสีไหนที่เลือกควรทำ, ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนทำ เป็นต้น
การสักปากเป็นการสักเม็ดสีลงบนชั้นบนสุดของริมฝีปากโดยใช้เข็มขนาดเล็ก หลังลอกสีจะจางลงดูเป็นธรรมชาติจะไม่เข้มเท่าการทาลิปสติก
เหมาะกับ:
- คนที่ต้องการเปลี่ยนรูปทรงหรือสีเพื่อให้ริมฝีปากสวยงามดูอ่อนเยาว์ปรับโดยไม่ต้องทาลิปสติก
- คนที่มีสีปากดำหรือคล้ำและต้องการแก้ไขให้สีปากดูสว่างกระจ่างใสยิ่งขึ้น
การสักปากโดยทั่วไปจะใช้เวลในการทำราวๆ 1-2 ชั่วโมง และสีจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของคุณ ยิ่งถ้ามีการดูแลที่เหมาะสีสักจะติดทนนานมากขึ้น
ราคาเท่าไร?
ราคาของการสักปากอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับร้านและประสบการณ์ของช่าง
ที่ร้านเรา อ.เจน สักให้เอง ราคาโปรโมชั่นเดือนนี้จะอยู่ที่ 6000 บาท (ปกติ 7000) เติม 1 ครั้ง 1000 บาท
ข้อดี/ข้อเสีย
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าการสักปากเหมาะกับคุณหรือไม่ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้เสียก่อน
ข้อดี
- ประหยัดเวลาและเงิน: ในการทาลิปสติกหรือลิปไลเนอร์ซ้ำๆ วันละหลายๆ ครั้ง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและเงินในระยะยาว
- ปลอดภัยจากสารตะกั่ว: ในลิปสติกมีสารตะกั่วเป็นส่วนผสมของสารตะกั่ว ทาเป็นประจำหลายปี อาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อสุขภาพได้
- เสริมรูปทรงริมฝีปากให้เป็นธรรมชาติ: ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและชัดเจนยิ่งขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้: ต่อเครื่องสำอางหรือลิปสติก เนื่องจากเม็ดสีที่ใช้สักปากมักเป็นสารออร์แกนิกและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
- เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ชอบทำกิจกรรม: เช่น ว่ายน้ำหรือออกกำลังกาย สีสักปากสามารถทนต่อเหงื่อและน้ำได้ดีกว่าลิปสติก
ข้อเสีย
- เจ็บ: การเอาเข็มจิ้มที่ปากจะบอกว่าไม่เจ็บเลย คือโกหกแน่ๆ แต่ถ้าคุณเลือกช่างที่ทำมีประสบการณ์ น้ำหนักมือจะเบาเสริมกับการใช้ยาชาดีๆ จะทำให้ความเจ็บลดลงมาก
- กระบวนการสมานแผลที่ยาวนาน: อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ ในระหว่างนี้คุณอาจพบอาการบวม แดง และตกสะเก็ด
- ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนที่คิด: ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของช่าง หากทำไม่ถูกต้องเม็ดสีอาจจางไม่สม่ำเสมอหรือผิดสีได้
- ความเสี่ยงของการติดเชื้อ: เหมือนๆ กับการสักหรือเจาะใดๆ บนร่างกาย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ปากดำคล้ำเกิดจากอะไร?
ปากสีคล้ำเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจ เกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่าง ความไม่สมดุลของฮอร์โมน, การสูบบุหรี่, ความเครียด,
การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีเมลานินตามธรรมชาติ ล้วนส่งผลให้ริมฝีปากคล้ำได้
คุณสามารถรักษาปากดำปากคล้ำได้เองที่บ้านด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การใช้น้ำผึ้ง, น้ำมันอัลมอนด์ และขมิ้นสามารถช่วยให้ริมฝีปากดูสว่างขึ้นได้
นอกจากนี้การเลเซอร์เพื่อให้เกิดการผลัดผิวหรือการสักปากชมพูสามารถทำได้ และเป็นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วกว่าได้
ใครไม่ควรสักปาก?
สำหรับท่านที่มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ ไม่แนะนำให้สักปากค่ะ
- อายุต่ำกว่า 18 ปี
- ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- เป็นเบาหวาน (ต้องได้รับอนุมัติจากแพทย์)
- เป็นโรคลมบ้าหมู
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- กำลังรับเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี
เลือกสียังไงให้เหมาะกับคุณ?
การเลือกสีสักอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีเม็ดสีให้เลือกหลายร้อยสีโทนอุ่น? หรือเย็น? ดังนั้น เพื่อช่วยคุณเลือกโทนสีได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ใช้สีผิวของคุณเป็นตัวกำหนด ดังนี้
| สีผิว | สีสักปาก |
|---|---|
| ผิวซีดสุดๆ | ควรเลือกโทนสีนู้ด เช่น สีพีชหรือโทนชมพูเย็นๆ หลีกเลี่ยงเฉดสีน้ำตาลเข้มหรือเบอร์กันดี เพราะจะตัดกับผิวสีซีดมากเกินไป |
| ผิวดำ/คลำ้ | สำหรับคนที่มีผิวคล้ำมาก อย่างคนเอเชียใต้ การเลือกสีสักจะค่อนข้างยากนิดนึง เนื่องจากคุณมีโทนสีน้ำเงินตามธรรมชาติที่ริมฝีปากซึ่งอาจส่งผลให้สีที่ออกมาอาจไม่เป็นตรงนัก ดังนั้นแนะจึงต้องปรับโทนสีเย็นให้เป็นกลางเสียก่อน |
| ผิวเหลือง | สำหรับคนผิวเหลืองสีริมฝีปากที่ดีที่สุดสำหรับผิวของคุณคือสีแดงโทนเย็น โทนสีเนื้อหรือบรอนซ์ก็เข้ากันได้ดี แต่หลีกเลี่ยงสีม่วงเพราะจะทำให้ให้ดูเหลืองเกินไป |
| ผิวสีชมพูอันเดอร์โทน | คนที่มีผิวสีขาวอมชมพูคล้ายๆ ฝรั่ง ให้ใช้โทนสีพีชเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าต้องการดูสะดุดตายิ่งขึ้น ลองใช้สีแดงอิฐหรือสีแดงที่มีสีส้ม พยายามหลีกเลี่ยงสีแดงที่มีสีน้ำเงิน เพราะจะทำให้โทนเย็นยิ่งขึ้นไปอีก สีชมพูบวกสีน้ำเงินจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง |
| ผิวขาวเอเชีย | สำหรับคนเอเชียที่มีผิวสีผิวมะกอกอ่อนๆ ถึงน้ำตาลปานกลาง จะมีสีปากโทน Coral อยู่แล้ว แนะนำให้เติมสีชมพูอมส้มเพื่อเพิ่มความโดดเด่น หรือสีแดงเข้มก็ยังได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงสีนู้ด (Nude Tone) เพราะจะทำให้ดูซีดเซียว |
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสัก
- รับประทานอาหาร: กระบวนการสักปากตั้งแต่ต้นจนจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง คุณควรรับประทานอาหารให้อิ่มอย่าปล่อยให้ท้องว่าง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์สามารถทำให้เลือดจางลง ซึ่งอาจทำให้ผิวแพ้ง่าย และมีเลือดออกและช้ำได้ง่าย ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นเวลาอย่าง น้อย 24 ชั่วโมง ก่อนสัก
- งดยาต้านการแข็งตัวของเลือด: เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน และน้ำมันปลาแบบเม็ด เป็นต้น เป็นเวลา 72 ชั่วโมง ก่อนการนัดหมาย (โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนสัก)
- ถ้าคุณเคยเป็นโรคเริมที่ปาก: คุณสามารถสักได้ แต่คุณต้องให้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อรับยายาต้านไวรัส เช่น Valtrex เป็นต้น
- ถ้ามีแผนที่จะไปฉีดฟิลเลอร์ปาก: ควรมาสักก่อน ไม่อย่างนั้นเมื่อริมฝีปากหดตัวและกลับสู่ขนาดปกติ แนวริมฝีปากผิดเพี้ยนไปไม่ดูธรรมชาติ
- รักษาริมฝีปากให้ชุ่มชื้น: ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันจะช่วยให้ริมฝีปากคงความชุ่มชื้น ลิปสติกมักจะทำให้ริมฝีปากแห้ง ดังนั้นควรงดเป็นเวลา 72 ชม. ก่อนสัก ให้ใช้ลิปบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้น แทน!
ขั้นตอนการสักปาก
กระบวนการสักปากอาจจะแตกต่างกันบ้างในแต่ละร้าน แต่โดยทั่วไปจะมีประมาณนี้
- ก่อนลงมือสักช่างส่วนใหญ่จะอธิบายกระบวนการทีละขั้นตอนให้คุณทราบ ถ้าคุณมีคำถามในขั้นนี้ก็ถามให้เคลียร์จะได้เข้าใจตรงกัน
- ต่อไปก็จะเป็นการเลือกสี ช่างจะแนะนำสีสักที่เหมาะกับสีผิวในขั้นนี้คุณปรึกษากับช่างจนได้สีที่ลงตัว ตรงใจ
- ออกแบบวาดรูปทรง บนริมฝีปากให้ดูก่อน เมื่อลูกค้าพอใจแล้ว ถึงลงมือสักจริง
- ทายาทาเฉพาะที่เป็นเวลา 20 นาที
- ลงมือสัก ลงสีสักแบบไล่เฉดเพื่อให้ได้สีที่คุณต้องการและออกมาแลดูสวยธรรมชาติ
- นัดเติมสี ใน 6-8 สัปดาห์หลังสักครั้งแรก เพื่อให้สีสวยสมบูรณ์แบบ ติดแน่นทนนาน!
การฟืันตัวของสีหลังสัก 30 วัน
โดยทั่วไปหลักสักปากจะลอก และแผลจะค่อยๆ สมานใน 2-3 สัปดาห์
ระหว่างนี้สีและลักษณะของริมฝีปากจะเปลี่ยนไป ตามภาพด้านล่าง
วันที่ 1-3: การดูแลหลังการรักษาทันที
ริมฝีปากของคุณอาจจะดูหนาและบวม รักษาริมฝีปากให้ชุ่มชื้นด้วยขี้ผึ้งหรือบาล์ม
หลีกเลี่ยงการสัมผัส เลีย หรือถูริมฝีปาก
วันที่ 3-7: ปากลอกครั้งแรก
บริเวณที่สักจะลอกหรือหลุดลอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระหว่างกระบวนการสมานตัว
สีอาจดูหยาบหรือจางลงเนื่องจากการหลุดร่วงของผิวหนังกำพร้า
วันที่ 8-14: สีเริ่มอยู่ตัว
ถึงตอนนี้ การหลุดลอกในช่วงแรกควรจะลดลง และริมฝีปากของคุณจะเริ่มดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
สีอาจดูซีดจางเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวล และสีจะค่อยๆ เข้มขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
วันที่ 15-21: สีเริ่มปรับตัว และสวยขึ้น
ประมาณสัปดาห์ที่ 3 คุณจะสังเกตเห็นว่าสีปากมีความสดใสมากขึ้นเมื่อชั้นหนังกำพร้าของผิวหนังสมานตัวและกักเก็บเม็ดสีไว้ใต้
ริมฝีปากของคุณจะดูอวบอิ่มและชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อรอยสักซึมเข้าสู่ผิวหนัง
วันที่ 22-28: ผลลัพธ์สุดท้าย
โดยทั่วไปแผลสมานหายสนิทภายในสัปดาห์ที่ 6-8 สีควรมีความชัดเจนและใกล้เคียงกับเฉดสีที่ต้องการ
วิธีดูแลตัวเองหลังสัก
- รอยสักใหม่เหมือนเหมือนทำแผลเปิด ป้องกันไม่ให้ปากแห้งจนเกินไปด้วยการทาบาล์ม แต่ก็ระวังอย่าทาจนให้ชุ่มเกิน
- ไม่เอามือสกปรกไปสัมผัสปาก
- ล้างริมฝีปากก่อนนอนด้วยน้ำอุ่นและสบู่
- ห้ามทาลิปสติกใดๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ห้ามแคะ แกะ เกาแม้ปากจะเป็นขุย
- ปากแห้งก็พยายามอย่าเลีย
- งดอาหารรสเผ็ดในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเป็นเวลา 5 วัน
- งดว่ายน้ำ แช่ในอ่างน้ำร้อน หรือแหล่งน้ำอื่นๆ เป็นเวลา 5 วัน
- ระวังรังสียูวี (รวมถึงตู้อบผิวสีแทน) อย่าโดนแดดแรงเป็นเวลา 5 วัน
- งดใช้สารขัดผิว กรดเรตินอล กรดไกลโคลิก หรือกรดอัลฟ่าไฮดรอกซีในบริเวณสัก เป็นเวลา 30 วัน สิ่งเหล่านี้ทำให้สีซีดจาง
- งดการนวด บำรุงผิวหน้า หรือทรีทเมนท์ผิวเป็นเวลา 5 วัน
รีวิวผลงาน (บางส่วน)
แชร์ประสบการณ์จริง จากลูกค้า (บางส่วน) ที่ผ่านมือ อ.เจน แบบเรียลๆ
โปรโมชั่นสักปาก 6,000 บาท (ปกติ 7000) ผ่อนเบาๆ 0.8% 10 เดือน
สีสักปากนำเข้าเกรด AAA ติดทนสวยนาน 3-5 ปี ไม่เจ็บไม่บวม ยาชาแรง
คำถามที่พบบ่อยจากลูกค้า
สักปากเจ็บไหม?
ผิวปากโดยมากจะบอบบาง การเอาเข็มสักลงไปต้องมีอาการเจ็บแน่นอน แต่จะเจ็บมากน้อยขึ้นอยู่กับ
- ความอดทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
- ประสบการณ์ของช่างสักด้วย ว่าสามารถลงน้ำหนักมือได้เบาแค่ไหน
- อีกสิ่งที่สำคัญที่ช่วยบรรเทาความเจ็บได้มากคือยาชา
สักแล้วอยู่ได้นานไหม?
ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสีที่ใช้และการดูแลหลังสัก ถ้ามีการเติมสีตามช่างนัดมักอยู่ได้ 2-3 ปี
สักปากอันตรายไหม?
การสักปากถือว่ามีปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ ตราบใดที่คุณเลือกช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์และดูแลหลังสักอย่างเหมาะสม
สักปากกี่วันลอก?
โดยทั่วไปจะเริ่มลอกครั้งแรกใน 3-7 วัน
ใช้เวลาสักนานเท่าไหร่
ประมาณ 1-3 ชั่วโมง
